รมว.ทส.วราวุธ ศิลปอาชา สั่งหน่วยงาน ทส. เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัย
รมว.ทส.วราวุธ ศิลปอาชา สั่งหน่วยงาน ทส. เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัย
จากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาวันนี้ (30 สิงหาคม 2562) เกี่ยวกับพายุ “โพดุล” ที่พัดปกคลุมบริเวณจังหวัดนครพนม ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุระดับ 2 (ดีเปรสชั่น) แล้ว ต่อมา ได้เคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร คาดว่าจะเคลื่อนผ่านบริเวณจังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู และเลย และจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในระยะ ต่อไป ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในทุกภาคของประเทศไทย และอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัย ที่ลาดเชิงเขาและใกล้ทางน้ำไหล โดยระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2562 ได้ประกาศให้พื้นที่กว่า 65 จังหวัดทั่วประเทศมีฝนตกหนักถึงหนักมาก นั้น
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ด้วยความห่วงใยของ นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเหตุการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น ตนได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมทั้งกำลังพลและอุปกรณ์ในการให้ความช่วยเหลือ โดยได้สั่งการให้กรมทรัพยากรน้ำสำรวจพื้นที่รับน้ำทั่วประเทศ เพื่อเตรียมรับน้ำพื้นที่อ่างเก็บน้ำ 398 แห่ง และฝาย 823 แห่ง พร้อมเตรียมเครื่องสูบน้ำ 294 เครื่อง กระจายทั่วประเทศ ตรวจสอบความพร้อมสถานีเตือนภัยน้ำหลาก 1,547 สถานี ทั้งนี้ ได้เตรียมผู้ประสานงานประจำการในพื้นที่กว่า 200 คน รถเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานในพื้นที่ 267 คน นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้เตรียมรถผลิตน้ำดื่มให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยและขาดแคลนน้ำดื่ม จำนวน 18 คัน พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำ จำนวน 54 คน พร้อมกันนี้ ได้เตรียมหน่วยสำรวจและให้การช่วยเหลือจำนวน 37 หน่วย พร้อมเจ้าหน้าที่ 120 คน เพื่อฟื้นฟูและเป่าล้างบ่อที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับแผนระยะยาว ได้เตรียมแผนในการฟื้นฟูบ่อสูบน้ำบาดาลที่ได้รับความเสียหาย สำหรับพื้นที่ชายฝั่งทะเล ได้เตรียมกำลังพลกว่า 800 นายในพื้นที่ พร้อมด้วยอุปกรณ์กู้ชีพ อุปกรณ์ดำน้ำ 73 ชุด เรือ 129 ลำ นักประดาน้ำระดับ open water 42 คน นักประดาน้ำระดับสูง 9 คน นักดำน้ำอาสาสมัครกู้ภัยกว่า 265 คน เครื่องอัดอากาศและอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่น ๆ ที่จำเป็น สำหรับพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ 155 แห่ง ได้จัดเตรียมห้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นพร้อมอุปกรณ์กู้ชีพกู้ภัยในทุกอุทยานแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 6 คนต่ออุทยาน รวมทั้งสิ้นกว่า 930 คน ศูนย์กู้ภัยจำนวน 7 แห่ง ในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดตราด จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสตูล และอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และได้เตรียมรถกู้ชีพกู้ภัย จำนวน 60 คัน จัดเตรียมเรือ speed boat จากพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลกว่า 25 แห่งทั่วประเทศ และได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนในการสนับสนุนเรือเพื่อให้การช่วยเหลือในพื้นที่ สำหรับกรมป่าไม้ ได้สั่งการให้หน่วยป้องกันรักษาป่าทั่วประเทศ จำนวนกว่า 400 หน่วย เตรียมกำลังพลและอุปกรณ์ในการช่วยเหลือ พร้อมได้กำชับให้ศูนย์ควบคุมไฟป่า ทั้ง 6 ศูนย์ และศูนย์ป้องกันและปราบปรามภาค 1 – 4 จัดกำลังพลสนับสนุนหากไม่มีเหตุไฟป่า รวมแล้วกรมป่าไม้ได้จัดเตรียมกำลังพลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จำนวนกว่า 5,500 คน ทั้งนี้ หลังเกิดอุทกภัยและเหตุการณ์สิ้นสุด หากผู้ประสบภัยใดที่บ้านเรือนได้รับความเสียหาย ได้เตรียมการประสานงานกับทางจังหวัดเพื่อเข้าช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือน ต่อไป
“ขอเรียนยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตระหนักและห่วงใยต่ออุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งจากพายุโพดุล หรือพายุลูกอื่น ๆ ในฤดูฝนปีนี้ ผมได้สั่งการไปยังอธิบดีทุกกรมให้เตรียมความพร้อมทั้งรถ เรือ ตลอดจนยานพาหนะอื่น ๆ ให้พร้อมรับกับสถานการณ์อุทกภัยในทันที ซึ่งสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทุกจังหวัดจะเป็นหน่วยงานประสานให้ส่วนราชการในสังกัด ทส. บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพเพื่อช่วยป้องกันหรือแก้ไขอุทกภัยให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายในเรื่องนี้ไว้ให้ทุกส่วนราชการนำไปดำเนินการอย่างเร่งด่วน ต่อไป ซึ่งภารกิจนี้ ผมได้มอบหมายให้นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการฯ เป็นผู้รับผิดชอบติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด” รมว. ทส. กล่าวให้ความมั่นใจในที่สุด
ด้านนายโสภณ ทองดี ผู้ตรวจราชการกระทรวง ในฐานะโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในสังกัดกระทรวง หน่วยงานต่างสังกัด เพื่อสนธิกำลัง พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ในการช่วยเหลือประชาชน ผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ สำหรับหน่วยงานในพื้นที่ได้ขอให้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัดในการดำเนินการช่วยเหลือ และรายงานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบอย่างต่อเนื่อง โฆษก ทส. กล่าว