นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวหัวหิน/ชะอำ ชี้เรือล่มกลางทะเลภูเก็ต”บทเรียนราคาแพง”
นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวหัวหิน/ชะอำ ชี้เรือล่มกลางทะเลภูเก็ต”บทเรียนราคาแพง”
นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน/ชะอำ ชี้เหตุการณ์เรือ เรือไดร์วิ่ง ฟินิกซ์ ล่มกลางทะเลจังหวัดภูเก็ต ถือเป็นบทเรียนราคาแพง เพราะมีทั้งผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ขณะที่ท่องเที่ยวละกีฬาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำหนังสือถึงผู้ประกอบการนำเที่ยวและบริษัททัวร์ ที่ให้บริการท่องเที่ยวทางทะเลเพิ่มความระมัดระวังในการนำนักท่องเที่ยวออกไปในทะเล
วันที่ 7 กรกฏาคม 2561 หลังจากเกิดเหตุการณ์เรือไดร์วิ่ง ฟินิกซ์ ล่มกลางทะเลบริเวณใกล้เกาะเฮ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต (เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561) จนถึงวันนี้มีผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และสูญหาย ซึ่งอยู่ในระหว่างเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ยังทำการออกค้นหาอย่างต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 3 แล้วนั้น ส่วนหนึ่งย่อมต้องส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย
นางวาสนา ศรีกาญจนา นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน/ชะอำ กล่าวว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ผ่านมา ภาครัฐให้การสนับสนุนมาโดยตลอด และได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย สร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมากในแต่ละปี แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต มีทั้งผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ผู้เสียหาย ครั้งนี้ถือเป็น”บทเรียนราคาแพง”พบผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อเกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวประเทศไทย ซึ่งทั้งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเพิ่มความเข้มงวด กวดขัน และกฎระเบียบให้มากยิ่งขึ้นกับการดำเนินการของผู้ประกอบการธุรกิจด้านนำเที่ยวทางทะเลในทุกๆพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการต้องมีคุณธรรม จริยธรรมในการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น
ด้านนายธนศร ดอกเดื่อ ท่องเที่ยวละกีฬาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลยาว 220 กิโลเมตร มีพื้นที่ซึ่งมีการให้บริการนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติออกท่องเที่ยวทางทะเล ทั้งที่พื้นที่อำเภอหัวหิน และปากน้ำปราณ ที่มีบริการเรือนำนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเที่ยวที่เกาะโครำ เกาะนมสาว ในพื้นที่อำเภอสามร้อยยอด รวมทั้งในพื้นที่อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ มีเรือให้บริการนำนักท่องเที่ยวออกไปชมอ่าวประจวบคีรีขันธ์
นอกจากนั้นยังมีที่อำเภอบางสะพานน้อย ซึ่งมีเรือให้บริการนำนักท่องเที่ยวออกไปดำน้ำชมปะการังที่เกาะทะลุ เกาะสิงห์ เกาะสังข์ นั้นที่ผ่านมานั้นผู้ประกอบการนำเที่ยวต้องมาจดทะเบียนขอนุญาตประกอบการนำเที่ยวกับทาง สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะหากไม่มาขึ้นทะเบียนก็ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งก็จะมีการออกสุ่มตรวจเป็นระยะ
ซึ่งหลังเกิดเหตุเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต ครั้งนี้ทางกระทรวงการท่องบเที่ยวและกีฬา ก็ได้ได้สั่งการให้สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา ทำหนังสือถึงผู้ประกอบการนำเที่ยว และบริษัทนำเที่ยวต่างๆในทุกพื้นที่ชายฝั่งทะเล ให้ระมัดระวังในการที่จะนำนักท่องเที่ยวอกไปท่องเที่ยวทางทะเล โดยเฉพาะหากมีประกาศเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่องคลื่นลมแรงก็ไม่ควรที่จะนำนักท่องเที่ยวออกไปและให้คำนึงถึงความปลอดภัยให้มากที่สุด เบื้องต้นขณะนี้ในส่วนของสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ทำหนังสือส่งไปยังผู้ประกอบการนำเที่ยวและบริษัทนำเที่ยวในพื้นที่ที่มาจดทะเบียนไว้ให้รับทราบแล้ว
โดยข้อมูลพบว่าเรือที่ให้บริการนักท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอบางสะพานน้อย ทั้งที่ดัดแปลงจากเรือประมงมาเป็นเรือให้บริการนักท่องเที่ยวไปดำน้ำดูปะการังทั้งขนาดใหญ่ 2 ชั้น ขนาดกลาง ขนาดเล็ก มีความจุนักท่องเที่ยวตั้งแต่ 20- 40 คนและถึง 100 คน รวมทั้งเรือสปีดโบ๊ท ซึ่งแต่ละลำก็จะมีขนาดความจุของนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไป 10-20 คน ซึ่งนำนักท่องเที่ยวออกจากฝั่งบริเวณชายฝั่งบางสะพานน้อย ไปดำน้ำดูปะการังทั้งที่บริเวณเกาะทะลุ เกาะสิงห์ และเกาะสังข์ อย่างน้อยในปัจจุบันมีถึง 40-60 ลำ ซึ่งในช่วงวันหยุดเทศกาลต่างๆมักมีนักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์ออกไปดำน้ำวันละหลาย 100 คนซึ่งแต่ละลำจะให้นักท่องเที่ยวสวมใส่ชูชีพทุกครั้ง อย่างไรก็ตามก็พบว่าส่วนใหญ่ในช่วงที่เกิดลมมรสุม คลื่น ลมแรง มีฝนตกนัก ตามที่มีการแจ้งเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา ผู้ประกอบการนำเที่ยวดำน้ำดูปะการัง และบริษัททัวร์ในพื้นที่ก็จะแจ้งให้นักท่องเที่ยวที่จองมาให้รับทราบว่าไม่สามารถเดินทางได้ ซึ่งก็เพื่อความปลอดภัย